วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

นางสุปปิยา อุเบสิกา

เชื่อหรือไม่ว่า...

"ศรัทธา" ทำให้มนุษย์สามารถทำหลายสิ่ง
หลายอย่างที่เหลือเชื่อได้อย่างไม่น่าเชื่อ...


เคยรู้สึกแปลกใจ..และทึ่งในความงาม อันน่ามหัสศจรรย์ของ
สิ่งก่อสร้าง ที่มนุษย์ในสมัยโบราณสร้างขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เครื่อง
ไม้เครื่องมือในยุคนั้นแทบจะไม่มี


เคยสงสัยว่า.. เพราะเหตุใด มนุษย์ตัวเล็ก ๆ จึงสามารถแกะ
สลักภูผาที่ใหญ่มหึมา เป็นรูปเคารพได้สำเร็จ


หรือไม่เข้าใจว่า... คนสมัยก่อนสร้างพีระมิดได้อย่างไร

  - - -  เข้าเรื่องกันค่ะ  - - -

วันนี้วันพระ แรม 8 ค่ำ เดือน 9 ที่ 29 เดือนสิงหา พ.ศ. 2556
บทความวันนี้ เป็นเรื่องเล่า ของ นางสุปปิยาอุเบสิกา ผู้มีสัจจะ
และศรัทธาอันยิ่งใหญ่

นางสุปปิยา
 
ครั้งพุทธกาล มีสตรีนางหนึ่งนามว่า สุปปิยา เธอได้ชื่อว่าเป็นผู้มีศรัทธา
อันยิ่งใหญ่ และมีสัจจะที่น่าชื่นชม แม้เธอจะไม่ได้สร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่
โตให้โลกประจักษ์ ทว่าศรัทธาอันสูงส่งที่เธอมี ทำให้เธอตัดสินใจทำใน
สิ่งที่คนทั่วไปไม่กล้าทำ  และคงไม่มีใครทำมาก่อน


นางสุปปิยาผู้นี้มีสามีชื่อ สุปปิยะ ทั้งสองคนเป็นชาวเมืองพาราณณีสอง
สามีภรรยาคู่นี้ มีความเลื่อมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
หนึ่งในกิจวัตรประจำวันของทั้งสอง คือ การเดินทางไปถวายภัตตาหาร
แด่ภิกษุสงฆ์ตามวัดวาอารามต่าง ๆ


วันหนึ่งถือเป็นคราวโชคดีของสามีภรรยา เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาแสดง
พระธรรมเทศสนาโปรดชาวพาราณณี และเพียงครั้งแรกที่นางสุปปิยาได้
ฟังธรรมจากพระโอษฐ์... นางก็บรรลุโสดาบันทันที


จะเป็นด้วยความปรารถนานับแต่อดีตชาติ นานนับแสนกัป ที่นางปรารถนา
จะสร้างกุศลกรรม ให้พระศาสนาได้มากที่สุด  หรือความมุ่งมั่นตั้งใจในชาติ
ปัจจุบันก็สุดจะเดา จึงทำให้นาง สุปปิยา มีจิตเมตตาภิกษุผู้อาพาธ คอยไต่
ถามทุกข์ สุขและอาการอาพาธของภิกษุในทุก ๆ วัด เพื่อหาทางช่วยเหลือ
เยียวยาอยู่เสมอ


ครั้งหนึ่งนางสุปปิยาได้ทราบว่า มีภิกษุรูปหนึ่งอาพาธจากการดื่มยาถ่าย
และต้องการฉัน "น้ำต้มเนื้อ" เพื่อบำรุงกำลัง เมื่อเห็นว่าไม่เกินกำลังแต่
อย่างใด นางจึงตกปากรับคำภิกษุรูปนั้น เป็นมั่น เป็นเหมาะว่า "ลูกจะนำ
มาถวายพระคุณเจ้าในเช้าวันพรุ่งนี้" พูดจบนางก็รีบมอบหมายให้สาวใช้
ไปหาซื้อเนื้อที่ตลาดทันที


วันนั้นแม้หญิงสาวใช้จะเพียรหาเนื้อจนทั่ว แต่ก็ไม่มีร้านไหน มีเนื้อขาย
เลย เพราะเหตุว่าเป็นวันห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หญิงรับใช้จึงกลับมาแจ้ง
นางสุปปิยา และอาสาจะไปหาซื้อให้อีกครั้ง ในเช้าวันรุ่งขึ้น


นางสุปปิยาคิดใคร่ครวญกลัวไม่ทันกาลหากต้องรอ "เนื้อ" จนเวลาเช้า
เพราะกว่าจะเตรียมการทุกอย่างเสร็จ นางก็คงนำน้ำเนื้อต้มไปถวายไม่
ทัน อย่างที่ได้รับปากไว้อย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้นจริง อาการ
อาพาธของภิกษุรูปนั้นก็อาจกำเริบมากขึ้นไปอีก สร้างความทรมานไม่
รู้จบสิ้น.. ก่อเป็นบาปกรรมได้


เมื่อมองไม่เห็นทางอื่นที่จะได้เนื้อมา นางสุปปิยา จึงกลับเข้าไปในห้อง
ก่อนจะกลั้นใจใช้มีด แล่เนื้อที่ขาขวาออกมาหนึ่งชิ้น และยื่นให้หญิงรับ
ใช้นำไปปรุงอาหาร เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ นางสุปปิยาจึงวานให้นาย
สุปปิยะผู้เป็นสามีนำน้ำเนื้อต้มไปถวายภิกษุอาพาธในเช้านั้นแทนนาง
เพราะตัวนางเองเกิดป่วยกะทันหัน


พระพุทธองค์ทรงทราบ ถึงเหตุแห่งศรัทธานั้น เช้าวันนั้นต่อมา พระองค์
และพระสาวกจึงออกบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านสองสามีภรรยา เมื่อเห็นดัง
นั้น นายสุปปิยะจึงถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะนิมนต์พระพุทธองค์ และ
พระสาวกขึ้นรับภัตตาหารบนเรือน ครั้งนั้นแม้นายสุปปิยะจะแจ้งว่า นาง
สุปปิยาป่วยนอนพักอยู่ในห้อง แต่พระพุทธองค์ก็ยังคงตรัสเรียกให้นาง
ออกมาอยู่หลายครั้ง


วินาทีนั้นเอง ได้เกิดอัศจรรย์ขึ้นที่ขาข้างขวาของนาง.. เนื้อที่หายไป
เริ่มเติมเต็มขึ้นมา ผิวหนังบริเวณที่นางตัดเนื้อออกไปกลับสมานเรียบ
ดังเดิม หนำซ้ำนางยังมีผิวพรรณผ่องใส ยิ่งกว่าเก่าเสียอีก


นางสุปปิยา สามารถก้าวเดินออกจากห้องได้เป็นปกติ และคลานเข้ามา
กราบพระพุทธองค์ด้วยความปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก


เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามถึงสาเหตุ ของอาการไข้ นางสุปปิยาจึงเล่า
เหตุการณ์ทั้งหมดถวายโดยไม่ปิดบัง สร้างความตื่นตะลึงให้ทุกคน ณ
ที่นั้น และด้วยอานุภาพแห่งศรัทธานี้ พระพุทธองค์ได้ทรงยกย่องว่า..


นางสุปปิยา เป็นอุบาสิกาผู้เป็นเลิศ กว่าอุบาสิกาทั้งปวง ในการเป็น
อุปัฏฐายิกาภิกษุที่อาพาธ


ต่อมาภายหลังพระพุทธองค์ มีรับสั่งให้มีการประชุมสงฆ์ และได้สอบ
ถามความจากภิกษุอาพาธรูปนั้นจนทราบว่า "ท่านรับฉันน้ำเนื้อมนุษย์
ต้มจริง ๆ " พระพุทธองค์ทรงติติง พร้อมกับชี้แจงว่า เป็นเรื่องไม่น่า
เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง ทั้งแต่นี้และต่อไปใน
ภายภาคหน้า


ด้วยเหตุนี้จึงเกิด พุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้อมนุษย์ ตามด้วยเนื้อสัตว์ 9
ชนิดได้แก่ ช้าง ม้า สุนัข งู สิงโต เสือโคร่ง เสือเหลือง เสือดาว และ
 หมี นับแต่นั้นมา




ลาวดวงเดือน


ขอบคุณ : youtube.com / ภาพจาก : Interner 
ข้อมูลจากห้องหนังสือ / ขอบคุณทุกคนที่แวะมาเยี่ยมชมค่ะ

 

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข้าวผัดหมูข้าวโพดอ่อน + น้ำบีทรูท




ข้าวผัดหมู ใส่ข้าวโพดอ่อน


อาหารจานเดียว สะดวกและง่าย อร่อยด้วยค่ะ


หมูย่างแล้ว หอมใหญ่ กระเทียม ข้าวโพดอ่อน มะเขือเทศ ต้นหอม

 
ข้าวสวย 1 ถ้วย ไข่ 2 ฟอง
 

ตั้งกะทะให้ร้อนใส่น้ำมัน กระเทียมลงเจียวให้หอม ใส่หมูที่ย่างแล้วลงผัด

 
ใส่ข้าวสวยและไข่
 

ตามด้วยข้าวโพดอ่อน


ปรุงรสด้วยชีอิ้วขาว น้ำมันหอย น้ำตาลนิดหน่อย ผัดให้เข้ากัน

  
ใส่หอมใหญ่ มะเขือเทศ ต้นหอม เคล้าให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ 
 

จัดใส่จานพร้อมเสริฟ

  
เรียบร้อยแล้วคะ ข้าวผัดหมูใส่ข้าวโพดอ่อน แสนอร่อย
พร้อมด้วยน้ำหัวบีทรูท สีสด อุดมประโยชน์
 
Buon Appetito
 
 
+ + + + + + + + + + + +
 
 
 
น้ำบีทรูท (หัวผักกาดแดง)
 
 บีทรูท  เป็นพืชตระกูลเดียวกับหัวผักกาดที่อยู่ใต้ดิน ลักษณะ กลมป้อม
 เปลือกสีออกดำ เนื้อสีแดงเลือดหมู หรือม่วงแดง เมื่อปอกสีจะติดมือ มี
ต้นกำเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
 
 
บีทรูทเป็นพืชที่ให้วิตามินซีสูง รวมทั้งมีวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 6
ให้ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัสและเหล็ก สารสีแดงในหัวบีทรูทคือ เบทานิน
(betanin) เป็นกรดอะมิโน ที่มีสรรพคุณ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
 และมะเร็ง น้ำบีทรูท จึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะรักษามะเร็ง..
 
 
 นอกจากนั้น ยังช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยง
ส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น ดื่มน้ำหัวบีทรูทช่วยเพิ่มพลังงานออกกำลัง
อึดขึ้น - ลดความดัน
 
 
คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยเอกเซเตอร์ ประเทศอังกฤษ พบว่า การดื่มน้ำหัว
บีทรูท ช่วยเพิ่มพลังและทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น ประมาณ 16 เปอร์
เซ็นต์ สารประกอบ ไนโตรเจน ซึ่งพบอยู่ในหัวบีทรูท จะช่วยลดการดูดซึม
ออกซิเจนเข้าสู่เนื้อเยื่อในร่างกาย ทำให้เหนื่อยน้อยลงเมื่อออกกำลังกาย
และจะเห็นผลดียิ่งขึ้น หากเป็นผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพร 
เป็นยาขับปัสสาวะ ยาระบาย เจริญอาหาร แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้
บวมและแก้บิด บีทรูท ดีต่อตับ ไต และลำไส้ตอนล่าง เพราะช่วยทำความ
สะอาดและกระตุ้นการทำงานของอวัยวะดังกล่าวค่ะ


 - - - - - - - - - - -

ขอบคุณข้อมูลจากหลาย ๆ เวปใน Interner
ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคน ที่แวะมาเยี่ยมชมค่ะ



 Celine Dion - Because you loved me

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Leonardo da Vinci


Leonardo da Vinci

เล่ากันว่า เลโอนาร์โด ดา วินซี เป็นอัจฉริยะบุคคลที่เต็มไปด้วยปริศนา
ภาพโมนาลิซ่าที่เขาเขียนขึ้น นั่นก็เป็นหนึ่งในปริศนา ที่ก่อให้เกิดความ
สงสัย ใคร่รู้ของผู้คน บ้างก็ว่าภาพนั้น เป็นภาพภรรยาของเศรษฐีพ่อค้า
ไหมจากเมืองฟลอเรนซ์ ชื่อ ลิซา เกอราร์ดินี บ้างก็ว่าดูรอยยิ้มที่แฝงไป
ด้วยปริศนาบนใบหน้าโมนาลิซ่าให้ดี ๆ ดูซิ..เธอมีส่วนละม้ายคล้ายคลึง
ใครมากที่สุด


เลโอนาร์โด ดา วินซี เป็นคนแปลกในสายตาของคนทั่วไป เขาเป็นคนรัก
สันโดษ ชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง เป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต ชอบ
วาดรูป สเกตช์ภาพ เขียนบันทึก และชอบคิด ชอบทำอะไรต่อมิอะไรที่ผิด
แผก แตกต่างจากคนอื่น ๆ


เลโอนาร์โดถนัดมือซ้าย แต่สามารถใช้มือขวาในการใช้งานได้ไม่ต่างกัน
เขาชอบเขียนบันทึก แต่ตัวหนังสือที่เขาเขียนมักจะเขียนแบบกลับหัวกลับ
หาง คนอื่นเขียนจากซ้ายไปขวา แต่เขาชอบเขียนจากขวาไปซ้าย หาก
อยากอ่านตัวหนังสือที่เขาเขียน ต้องอ่านผ่านกระจกเงา


ตั้งแต่จนโตไม่ว่าเลโอนาร์โดคิดจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งที่เขาทำขึ้นมักจะ
เต็มไปด้วยปริศนาที่ซ่อนเร้น บางสิ่งบางอย่างเอาไว้เสมอ ผู้คนทั้งที่รู้จัก
และไม่รู้จักเขา มักจะตั้งคำถามว่าเลโอนาร์โด ดาวินชี ทำเช่นนั้นหรือทำ
เช่นนี้ทำไม? และเพราะอะไรเขาจึงทำ? ไม่มีคำตอบใด ๆ จากผู้ชายคนนี้
นอกจากสิ่งที่เขาคิดและสร้างมันขึ้นมาด้วยสมองของเขาเอง


เล่ากันอีกว่า.. เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นคนสองเพศ เขาเคยถูกกล่าวหา
ว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ แม้ข้อกล่าวหานั้นจะหนักอยู่ไม่น้อย สำหรับคนใน
ยุคเมื่อ 500 ปีก่อน หากแต่เลโอนาร์โด ดาวินชี ก็เลือกที่จะไม่ตอบโต้ข้อ
กล่าวหาใด ๆ เขาเลือกที่จะเก็บตัว และอยู่อย่างสันโดษ และไม่ปรากฏ
หลักฐานใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า เขาเคยมีคู่รักหรือคนรู้ใจเป็นตัวเป็นตน
เพราะตลอดชีวิตของเลโอนาร์โด เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีเพื่อการคิด
และสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบตัวเขา โดยเฉพาะธรรมชาติ


เลโอนาร์โด... สามารถนั่งมองการไหลของ สายน้ำ ได้ตลอดทั้งวัน
เพียงเพื่อต้องการศึกษาการเคลื่อนที่ของน้ำ


_ _ _ _ไว้มาอัพต่อค่ะ _ _ _ _